เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ตัวแทน เกษตรกรชาวไร่อ้อยจังหวัดเพชรบูรณ์ จากสามอำเภอ ได้แก่ อำเภอศรีเทพ, อำเภอวิเชียรบุรี และ อำเภอบึงสามพัน นำโดย นายชัชกร แก้วแพทย์ ได้เดินทางไปยัง ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อ ยื่นหนังสือร้องเรียน ขอความเป็นธรรมและสะท้อนความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย ถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รวมถึงรัฐบาล
เกษตรกรหวั่นได้รับผลกระทบ หลังรัฐบาลชะลอปรับราคาน้ำตาล
ในหนังสือร้องเรียนดังกล่าวระบุว่า พวกเราชาวไร่อ้อยเป็นเกษตรกรที่ปลูกอ้อยสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย และได้ทราบข่าวจากหน่วยงานรัฐว่า รัฐบาลจะมี การปรับราคาน้ำตาลทรายขึ้นอีก 3 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้ชาวไร่อ้อยได้รับ ค่าอ้อยเพิ่มขึ้นตันละประมาณ 50 บาท ตามระบบส่วนแบ่งรายได้ 70:30 ระหว่างเกษตรกรและโรงงานน้ำตาล
แต่ต่อมา เกษตรกรได้รับทราบข่าวว่า มีการ ชะลอการปรับราคาน้ำตาล ส่งผลให้ไม่สามารถนำราคาที่ปรับขึ้นมาคำนวณรายได้เพิ่มเติมให้กับชาวไร่อ้อยได้ จึงเกิดผลกระทบโดยตรงต่อ รายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยทั่วประเทศ
นายชัชกร แก้วแพทย์ ตัวแทนเกษตรกร กล่าวว่า การเดินทางมายื่นหนังสือในครั้งนี้ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนการชะลอการปรับราคาน้ำตาล โดยคาดหวังว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะเห็นถึงความเดือดร้อนและให้การช่วยเหลือเกษตรกรอย่างทั่วถึง



สอน. เคยประกาศขึ้นราคาน้ำตาล ก่อนมีคำสั่งชะลอในวันเดียวกัน
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ได้ออกประกาศเรื่อง การปรับราคาน้ำตาลทรายในประเทศ เพื่อใช้คำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตน้ำตาลทราย สำหรับฤดูการผลิตปี 2568/2569 โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ปรับราคาน้ำตาลทรายขาว จากกิโลกรัมละ 21 บาท เป็น 24 บาทต่อกิโลกรัม
- ปรับราคาน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ จากกิโลกรัมละ 22 บาท เป็น 25 บาทต่อกิโลกรัม
ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตจริง
อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกัน มีรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีคำสั่งให้ ชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำตาลภายในประเทศ ตามประกาศที่ สอน. ออกไปแล้ว ทำให้หน่วยงานต้องออกประกาศใหม่เพื่อกลับมาใช้ราคาเดิม
ผลจากคำสั่งดังกล่าวทำให้ ไม่สามารถนำราคาที่เพิ่มขึ้นมาคำนวณรายได้ให้ชาวไร่อ้อยเพิ่มอีก 50 บาทต่อตัน ส่งผลให้เกษตรกรจำนวนมากได้รับผลกระทบโดยตรง และเป็นเหตุให้มีการรวมตัวของเกษตรกรชาวไร่อ้อยจากจังหวัดเพชรบูรณ์ เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนในครั้งนี้
เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยส่วนใหญ่ในพื้นที่เพชรบูรณ์ยืนยันว่า ต้นทุนการเพาะปลูกในปีนี้สูงขึ้น ทั้งค่าปุ๋ย ค่าแรง และค่าน้ำมัน ซึ่งการ ชะลอการปรับราคาน้ำตาล จะทำให้รายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย และกระทบต่อความอยู่รอดของเกษตรกรรายย่อยจำนวนมาก
ชาวไร่อ้อยเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะระบบ ส่วนแบ่งรายได้ 70:30 ระหว่างโรงงานและเกษตรกร ถือเป็นกลไกที่ช่วยสร้างความสมดุลให้กับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทย หากราคาน้ำตาลไม่สะท้อนต้นทุนจริง ย่อมส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย นายชัชกร แก้วแพทย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เกษตรกรทุกคนคาดหวังให้รัฐบาลเข้าใจปัญหาความเดือดร้อน และช่วยหาทางออกที่เป็นธรรม เพื่อให้ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทยสามารถดำเนินไปได้อย่างมั่นคง


